กองทุน RMF ลดหย่อนภาษี จัดตั้งขึ้นในปี 2544 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาว สำหรับให้ผู้ลงทุนได้นำไปใช้จ่ายในยามเกษียณ ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนเงื่อนไขของกองทุนเลย จนกระทั่งในปี 2563 กองทุน RMF ได้ปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ เพื่อให้ทันกับยุคสมัยและการดำเนินชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงไปของผู้คน วันนี้เราจึงขอพาทุกคนไปอัปเดตเงื่อนไขใหม่ของกองทุน RMF ด้วยกันว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
เงื่อนไขใหม่กองทุน RMF ลดหย่อนภาษี สิทธิประโยชน์ที่เข้าใจนักลงทุน
เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจว่า กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไปจากเดิมอย่างไร เราจะนำเงื่อนไขเดิม มาเทียบกับเงื่อนไขใหม่ให้ทุกคนได้เห็นภาพง่ายขึ้น ซึ่งการปรับปรุงครั้งนี้ เป็นไปเพื่อมุ่งหวังให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านภาษีและการออมเงินระยะยาว ซึ่งเป็นแนวทางนโยบายที่ไม่แตกต่างไปจากเงื่อนไขเดิมมากหนัก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใหม่ หรือเงื่อนไขเก่า ต่างมีข้อดีที่คำนึงถึงประชาชนเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันคือการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขไปตามยุคสมัยเท่านั้น หากเข้าใจตรงกันแล้ว เราไปสำรวจเงื่อนไขดี ๆ กันเลย
- รูปแบบการลงทุน
- เงื่อนไขเดิม เมื่อเริ่มลงทุนกองทุน RMF แล้ว จะต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยนักลงทุนต้องซื้อหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง และจะต้องลงทุนทุกปี หากไม่สามารถทำได้ อนุญาตให้ลงทุนแบบปีเว้นปีได้
- เงื่อนไขใหม่ เมื่อเริ่มลงทุนกองทุน RMF แล้ว ไม่มีข้อผู้มัดว่าจะต้องซื้อหน่วยลงทุนปีละกี่ครั้ง แต่นักลงทุนจะต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี รวมถึงอนุญาตให้ลงทุนแบบปีเว้นปีได้เช่นกัน
- การลงทุนขั้นต่ำ
- เงื่อนไขเดิม ลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ต่อปี หรือ ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน ให้ใช้จำนวนนั้นเป็นเกณฑ์
- เงื่อนไขใหม่ ไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำต่อปี นักลงทุนสามารถลงทุนได้ตามนโยบายของกองทุนที่สนใจ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะกำหนดให้ลงทุน 500-1,000 บาทในแต่ละคำสั่งซื้อ
- การหัดลดหย่อนภาษี
- เงื่อนไขเดิม นักลงทุนสามารถนำยอดซื้อกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ต่อปี
- เงื่อนไขใหม่ นักลงทุนสามารถนำยอดซื้อกองทุน RMF มาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ต่อปี
ส่วนการขายคืนหน่วยการลงทุนเมื่อถือครองครบกำหนด ทั้งเงื่อนไขใหม่และเงื่อนไขเก่า มีแนวทางเหมือนกันคือ จะต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยวิธีการนับ คือ นับเฉพาะปีที่ซื้อกองทุนเท่านั้น และเมื่อครบ 5 ปี นักลงทุนจะต้องมีอายุ 55 ปี หากครบทั้ง 2 เงื่อนไขนี้ จะสามารถขายคืนหน่วยการลงทุนได้
เช็กลิสต์ คุณพร้อมลงทุนกับกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีหรือยัง
เมื่อได้ทราบถึงเงื่อนไขใหม่ที่ปรับปรุงเพื่อนักลงทุนรุ่นใหม่กันแล้ว ทีนี้เรามาเช็กความพร้อมของตัวเองสักนิดว่า เราพร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่เลือกลงทุนกับกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีหรือยัง ลองไปดูคุณสมบัติที่เรานำมาฝากและเช็กกับตัวเองได้เลย
- คุณรู้จักตัวเองหรือยังว่า มีเป้าหมายในการลงทุนเพื่ออะไร ความสามารถในการออมเงินของคุณมีมากน้อยขนาดไหน และคุณสามารถรับความเสี่ยงที่จะเกิดกับการลงทุนได้หรือไม่
- คุณมีวินัยในการออมเงินอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ต้องการให้ตัวเองมีเงินก้อนใช้ในวัยเกษียณหรือเปล่า และคุณทราบหรือไม่ว่า กองทุน RMF คือ กองทุนรวมที่ต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี
- คุณพร้อมที่จะกระจายความเสี่ยงหรือไม่ เพราะการลงทุนกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้น คุณมีความพร้อมจะศึกษาเรื่องการกระจายความเสี่ยงไปสู่การพิจารณาศึกษาการลงทุนสินทรัพย์อื่น ๆ หรือเปล่า
- คุณทราบหรือไม่ว่าการลงทุนกับกองทุน RMF มีความเสี่ยงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง และคุณทราบหรือไม่ว่ากองทุน RMF ที่คุณสนใจอยู่ในระดับใด
- คุณพร้อมจะศึกษานโยบายของแต่ละกองทุนที่สนใจในหนังสือชี้ชวน จนเกิดความเข้าใจจนถ่องแท้ก่อนการลงทุนหรือไม่
โดยเช็กลิสต์ที่นำมาฝากกันด้านบนนี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนได้สำรวจตัวเองก่อนการลงทุนกับกองทุน RMF ว่าคุณมีความพร้อมด้านวินัยการลงทุนเพียงใด คุณจะลืมลงทุนแบบปีเว้นปีหรือไม่ และที่สำคัญคือ คุณมีความจำเป็นต้องวางแผนชีวิตหลังเกษียณด้วยกองทุนประเภทนี้จริงหรือไม่ หากผลการสำรวจตัวเองพบว่า ตัวคุณเองมีความเข้าใจและความพร้อมในทุกด้านที่ได้กล่าวมา คุณก็พร้อมที่จะเลือกกองทุนที่มีนโยบายตรงกับความต้องการของคุณแล้ว แต่ถ้าพบว่ายังไม่แน่ใจในบางข้อ ให้คุณใช้เวลาเพื่อศึกษารายละเอียดกองทุนให้แน่ใจอีกครั้ง
จากที่ได้นำเงื่อนไขใหม่กับเงื่อนไขเก่าของกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีมาเปรียบเทียบให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงกัน จะเห็นได้ชัดว่า เงื่อนไขใหม่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ทั้งการไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ การไม่ผูกมัดให้ลงทุนมากกว่าปีละ 1 ครั้ง และการเพิ่มส่วนลดหย่อนภาษีจาก 15% เป็น 30% ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ที่มีหลากหลายอาชีพ ทั้งพนักงานประจำ และฟรีแลนซ์ ซึ่งมีรายได้และแหล่งที่มาของเงินแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเหมือนกันคือ ต้องการให้วัยเกษียณเต็มไปด้วยความสุข และมีสภาพคล่องทางการเงิน